แก้ปัญหา work from hell หยุดทำงานไม่ได้ทั้งๆ ที่อยู่บ้าน

0 Shares
0
0
0
เช้าวันหนึ่งหลังจาก work from home ติดกันมา 3 สัปดาห์ ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับเริมที่ริมฝีปากล่าง ปีศาจที่ผมมักจะเจอเป็นประจำในช่วงที่พักผ่อนน้อย แม้ชั่วโมงทำงานตามสัญญาจ้างจะอยู่ที่ 08:00-17:00 หรือ 9 ชั่วโมงรวมเวลาพักในแต่ละวัน แต่ชั่วโมงทำงานโดยเฉลี่ยของผมที่คอนโดจะเริ่มที่ 9 โมงเช้าและจบลงที่ตี 2 แทบทุกวัน ชัดเจนเลยว่านั่งทำงานราวๆ 17 ชั่วโมงต่อวันไม่ใช่ healthy lifestyle

เมื่อ work from home ไม่ได้ทำให้ชีวิตสบายขึ้นและมี work-life balance ที่ดีเหมือนที่คิด เพราะคนที่เสพติดชีวิต productive มีแนวโน้มที่จะ overwork หรือทำงานเยอะเกินไป หลายครั้งที่ผมปิดคอมตอน 6 โมงเย็น พักกินข้าว อาบน้ำ แต่อารมณ์ยังค้างอยู่ใน PowerPoint เลยกลับมาเปิดคอมอีกครั้งตอน 2 ทุ่ม และลากยาวไปถึงตี 2 บางวันเรียกได้ว่าจำใจต้องนอนแม้จะไม่อยากนอน กายอยู่ที่เตียงนอน แต่ใจอยู่ที่โต๊ะทำงาน นี่คืออาการของคนที่เดินออกจากออฟฟิศไม่ได้แม้จะอยู่ที่บ้านก็ตาม

ปัจจัยการเกิด (over)work from home หรือโหมทำงานมากเกินไปขณะอยู่บ้านมีหลากหลายเช่น คอมอยู่ใกล้มือเลยเปิดง่ายมากแบบ anytime anywhere ความฟินจากการเคลียร์งานแต่ละชิ้นได้ การโดนตามงานถี่ๆ จากหัวหน้า เพื่อนร่วมงานและลูกค้า ประชุมที่ไม่รู้เวล่ำเวลา หรือความกลัวว่าหัวหน้าจะไม่ไว้ใจก็เลยทำงานรัวๆ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ ทั้งหมดนี้เลยมักจบที่ความเครียดสะสม ประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง อาการนอนไม่หลับ ขอบตาคล้ำ สิวขึ้น หรือการเจ็บป่วยต่างๆ


… แล้วต้องทำยังไง?

ในโลกธุรกิจ มันจะมีโอกาส ปัญหา และความท้าทายใหม่ๆ มาให้เราจัดการเสมอ ดังนั้นการโหมสุดตัวรัวๆ หรือ go extra miles ในวันนี้ไม่ได้การันตีว่าพรุ่งนี้เราจะได้ทำงานสบายๆ อยากให้มองการทำงานเหมือนการวิ่งมาราธอน ที่เราต้องรู้จักผ่อนหนัก-เบาให้เหมาะกับสถานการณ์และพลังที่ยังมีเพื่อจะไปถึงเส้นชัยอย่างไม่สะบักสะบอม ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องออกแบบการใช้ชีวิต ถ้าตอนนี้เส้นแบ่งระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวยังพร่ามัว มันเป็นความรับผิดชอบของเราเพียงเท่านั้นครับที่ต้องขีดเส้นใหญ่ๆ เข้มๆ แบบที่เราและคนอื่นเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้นมา ผมเลยลองปรับพฤติกรรมตาม 5 ข้อข้างล่างเพื่อที่จะพาตัวเองออกจากวงการนี้และมันเวิร์คมากครับ

แบ่งพื้นที่ทำงาน

พื้นที่ที่ถูกจัดไว้สำหรับทำงานโดยเฉพาะมีอิทธิพลต่อการแบ่งเวลามากครับ ถ้าใครมีบ้าน แนะนำให้แบ่งห้องทำงานไว้จะช่วยได้มาก แต่ถ้าใครอาศัยตามห้องพักหรือคอนโดที่มีพื้นที่จำกัด (เช่นผม) การจัดมุมสักมุมในห้องไว้สำหรับทำงานจะช่วยได้ครับ

กำหนดเป้าหมายในแต่ละวันให้ชัด

ก่อนลงมือทำอะไรเราต้องรู้เป้าหมายเสียก่อนครับ ผมจะมี to-do list ของงานที่จะต้องทำให้เสร็จและส่งมอบในแต่ละวันและสัปดาห์ สำหรับการตั้งเป้าหมาย เราควรจะระบุรายละเอียดที่ชัดเจนและทำได้จริง ซึ่งเราและหัวหน้าของเราควรรับรู้และตกลงร่วมกันก่อนนะครับ และก่อนเลิกงานในแต่ละวัน เราควรจะทบทวนแผนว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร จะได้ไม่ต้องเก็บไปคิดก่อนนอน ซึ่งอาจจะทำให้นอนไม่หลับอีกครับ

อย่าลืมพักบ้าง

หยุดพักระหว่างวันคือสิ่งที่จำเป็นครับ รับประทานอาหารกลางวันสักชั่วโมง ดื่มกาแฟ 10 นาที เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาให้ร่างกายยังกระปรี้กระเปร่าบ้าง แวะไปพูดคุยทักทายกับคนที่บ้าน หรือโทรศัพท์คุยกับเพื่อน จริงๆ มันก็เหมือนเวลาที่เราอยู่ที่ออฟฟิศแหละครับ อย่าสร้างเงื่อนไขด้านเวลาที่ตึงกับตัวเองจนมากเกินไปเพราะโอกาสตายเร็วจากการหักโหมมีสูงครับ

แจ้งเวลาทำงานให้คนรอบตัวรู้

อย่าลืมบอกคนที่บ้านและคนที่เราทำงานด้วยว่าเราจะทำงานกี่โมงถึงกี่โมงในแต่ละวัน ไม่อย่างนั้นแม่อาจจะเดินเข้ามาชวนเม้ามอยนานสองนาน หรือโดนตามงานช่วงกลางคืนได้ เสริมอีกนิดฮะ ในบางมุม การที่เราตอบ e-mail นอกเวลางาน มันอาจจะไม่ได้แค่ทำให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนทุ่มเทกับการทำงาน (ที่บางครั้งก็มากเกินไป) แต่มันเป็นการตั้งมาตรฐานและสร้างความคาดหวังให้กับคนอื่นว่าเค้าสามารถติดต่อเราได้ตลอดเวลา

เราเลิกกันเถอะ!

เลิกงานก็คือให้งดทำงาน และงดไม่ได้แปลว่ายังกลับมาตอบ e-mail ในคอมหรือในมือถือหลังเลิกงานได้ ฝากไว้ครับว่าก่อนที่จะตอบ e-mail หลังเวลางานขอให้หยุดคิดนิดนึงว่าจะตอบเพราะเป็นเรื่องที่เร่งด่วนจริงๆ หรือเราแค่คิดเอาเองว่ามันเร่งด่วน หากเรื่องไหนรอได้ก็ให้เป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ครับ เพื่อรักษาสมดุลชีวิต เทคนิคที่ผมใช้เมื่อไม่มีห้องทำงานโดยเฉพาะและมีพื้นที่จำกัดมากๆ แต่อยากมูฟออนได้เร็วขึ้น คือเก็บคอมพิวเตอร์ลงกระเป๋าไปซะหรือเอาผ้ามาคลุมให้พ้นจากทัศนวิสัยครับ

ทีนี้พอจัดการกับ 5 ข้อข้างบนได้แล้ว เราก็จะเริ่มมองเห็นข้อดีของเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวซึ่งห่างกันแค่คืบทารก นั่นก็คือมีเวลาหลังเลิกงานมากขึ้นเพราะเมื่อไม่ต้องใช้เวลาเดินทาง เราจะมีเวลาใช้ชีวิตเยอะขึ้น อ้าว เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอครับ?!!และเรื่องดีตรงนี้ก็นำคำถามชวนปวดหัวมาให้คนติดงานและทำงานแทบจะตลอดเวลาอย่างผมครับ ผมเคยเป็นคนที่กลัวว่าถ้าไม่ได้ทำงานแล้วจะไม่มีอะไรทำ แต่จริงๆ แล้วชีวิตมันไม่ได้มีแค่ทำงานนะ 😉 และนี่คือสิ่งที่ผมทำเพื่อออกจาก “โฮมออฟฟิศ” อย่างเต็มที่ที่สุดครับ

ออกกำลังกาย

หลักๆ แล้วผมใช้แอพ adidas training ในการออกกำลังกายที่บ้าน หลายคนอาจจะประมาทว่าการออกกำลังกายที่บ้านอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์อะไรมากมาย แต่อยากให้ลองเข้าไปดูผลลัพธ์จริงของผมจากบล็อกตอน “แชร์ผลลัพธ์ใช้แอพ ออกกำลังกายที่บ้าน สร้างซิกแพคใน 12 สัปดาห์” และเพื่อไม่ให้ตัวเองเบื่อ ผมใช้แอพนี้สลับกับการออกกำลังกายตามวิดีโอใน YouTube โดย channels หลักๆ ที่ผมดูคือ

  • ALLBLANC TV
    เน้นบอดี้เวทที่ไม่ใช้อุปกรณ์ ไม่เหนื่อยจนต้องร้องขอชีวิต ใช้เวลาไม่เยอะ เหมาะกับวันที่เพลียจริงๆ จากงานแต่ยังอยากออกกำลังกาย
  • Jordan Yeoh
    เฮียจอร์แดนจัดโปรแกรมบอดี้เวทและ fat burning ตั้งแต่ระดับเบาๆ ไปจนถึงโหดมาก ถ้าเล่น level 3 ขึ้นไปนี่แทบจะหายใจไม่ทัน แต่ดีมากครับ
  • ACHV PEAK
    ช่องนี้นำเสนอโปรแกรมออกกำลังกายทั้งแบบที่ไม่มีอุปกรณ์ และแบบที่ใช้ resistance band เข้ามาร่วมด้วย ดีมากจริงๆ ครับ
Exercise
เพลิดเพลินกับเพลง

เนื่องจากผมเป็นคนที่ติดการฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก และต้องเปิดเพลงทุกช่วงไม่ว่าจะตอนแปรงฟัน อาบน้ำ เที่ยว ออกกำลังกาย หรือแม้แต่ทำงาน ก็เลยใช้เวลาว่างหาเพลงที่ชอบมาจัดเพลย์ลิสต์ของตัวเอง ผมชอบ Spotify เป็นพิเศษครับเพราะอัลกอริทึมเจ๋งๆ ทำให้ผมได้รู้จักเพลงใหม่ๆ ที่ตรงกับเทสของตัวเองเยอะมากเลย และอีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่ใช้บ่อยๆ ในแอพนี้คือการแชร์เพลงที่กำลังฟังลง instagram story ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งแหล่งกำเนิดบทสนทนาที่ทำให้ได้รู้จักคนที่ฟังเพลงแนวเดียวกันครับ

เก็บกวาด-จัดระเบียบที่อยู่อาศัย

ผมกำหนดให้ทุกวันเสาร์เช้าเป็นวันทำความสะอาดประจำสัปดาห์ นอกจากนี้ขณะจัดระเบียบสิ่งของในบ้าน ผมเพลิดเพลินกับการเจอสมบัติเก่าเก็บเช่น รูปถ่ายสมัยตู้ถ่ายสติกเกอร์บูมในยุค 2540 หรือสมุดพกตอนประถม สมุดการบ้านวิชาคณิตศาสตร์และศิลปะสมัยมัธยมต้น กลิ่นความทรงจำเก่าๆ มันลอยกลับมาทำให้รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกครับ

Cleaning
พัฒนาตัวเอง

ตัวผมเองกำลังเรียนคอร์สวาดรูปในเว็บไซท์ SkillShare.com เพราะนอกจากจะทำเพื่อเป็นงานอดิเรกแล้วยังจำเป็นสำหรับการทำงานอีกด้วย ผมเห็นเทรนด์เรียน MOOC (Massive Open Online Course) ที่บ้านมาแรงมากในช่วงปีนี้ หลายๆ สถาบันเปิดโอกาสให้คนที่อยู่ที่บ้านได้เรียนฟรีหลายหลักสูตร ซึ่งผมคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ใช้เวลาที่มีมากขึ้นในการพัฒนาตัวเอง ตราบใดที่โลกยังไม่หยุดหมุน สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน เราจะหยุดเรียนรู้ได้ยังไงกันใช่ไหมครับ

Self-learning

ผมเคยไปตั้งคำถามใน instagram ของผมเพื่อหาไอเดียอื่นๆ นอกเหนือจากที่กล่าวมาทั้งหมด ก็ปรากฏว่ามีเพื่อนๆ แชร์ให้เยอะแยะเลยครับไม่ว่าจะเป็น เล่นเกม ฝึกทำอาหาร ดริปกาแฟเอง คิดเมนูของกินใหม่ๆ ชุมสาย FaceTime กับเพื่อนๆ โยคะ อ่านหนังสือที่ซื้อมาดองไว้ จัดบ้านใหม่ จัดระเบียบไฟล์ในคอมพิวเตอร์ และที่มาแรงมากๆ คือลองเล่น TikTok (เพื่อนผมบางคนกลายเป็นเจ้าหญิงแห่งวงการนี้ไปแล้ว) ซึ่งผมสนับสนุนเต็มที่เลยเพราะการสร้างคอนเทนท์ในแอพนี้ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการฝึกฝนมากพอสมควรเลยทีเดียว และท้ายที่สุดไม่ว่าจะเลือกทำกิจกรรมไหน หากเราสามารถวางแผนไว้เลยว่าจะทำอะไรที่ไม่เกี่ยวกับงานให้เป็นชิ้นเป็นอันมันก็จะช่วยทำให้เรารู้สึกหวงแหนและอยากใช้เวลาที่มีส่วนตัวทำสิ่งที่เราอยากทำมากขึ้นครับ ซึ่งไม่ต่างจากเทคนิคที่หลายๆ คนใช้ในการทำงานเลยครับ 😊

แม้ช่วงเวลาไม่ปกติแบบนี้จะไม่อยู่กับเราไปตลอด การเปิดโอกาสให้พนักงานได้มีวันทำงานนอกออฟฟิศไม่ว่าจะเป็น work from home หรือ work from anywhere จะกลายเป็น new normal สำหรับหลายๆ บริษัท ผลงานหรือ productivity ที่พนักงานสร้างในแต่ละวันจะกลายเป็นจุดโฟกัสหลักแทนที่จะวัดจากเวลาตอกบัตรหรือชั่วโมงทำงาน ดังนั้นเราจึงต้องเรียนรู้และปรับตัวอย่างชาญฉลาดให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพรมแดนบางๆ ที่อาจจะเป็นแค่ผนังห้องหรือกระเบื้องหนึ่งแผ่นที่กั้นระหว่าง “บ้าน” และ “ออฟฟิศ” เพื่อที่จะสร้าง productivity และ healthy lifestyle ไปพร้อมๆ กันและไม่ปล่อยให้ work from home กลายเป็น work from hell ด้วยการทำให้ทุกชั่วโมงที่บ้านเป็นทุกชั่วโมงแห่งการทำงาน

0 Shares
3 comments
  1. เป็นบทความที่ดีมากๆเลยครับ อ่านแล้วรู้สึกว่าเข้าถึงได้ง่าย เพราะหลายกิจกรรมก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปทำ หรือเคยมีประสบการณ์แบบนี้ แต่ก็ยังมีอีกหลายกิจกรรมที่สร้างแรงบรรดาลใจสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตไประจำวันได้
    รูปภาพประกอบน่ารักมากครับ ขอเป็นกำลังใจและถ้ามีเวลาว่างก็แวะมาบอกเล่า แบ่งปันสิ่งดีๆ อย่างนี้อีกบ่อยๆนะครับ

    1. ขอบคุณมากครับ หลายๆ ไอเดียผมก็ได้มาจากเพื่อนๆ ที่แบ่งปันเข้ามาใน IG ครับ แต่ละอย่างสามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้านเลยเนอะ 🙂

  2. ได้อ่านสักทีนะน้องต้อง
    เขียนดี บางทีก็รู้แหละว่ามีอะไรต้องทำบ้าง
    แต่ขี้เกียจมาก ไม่ productive เลย
    อ่านแล้วก็ได้คิดว่าควรต้องทำอะไรให้เข้ารูปเข้ารอย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

You May Also Like

เรียนต่อตอนอายุ 30 ช้าไปไหม?

ด้วยเหตุผลบางประการ ขณะที่อายุ 30 ผมตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโทที่ University of Leeds ประเทศอังกฤษ ผมยังจำความกังวลที่ผุดขึ้นมาในวินาทีที่ผมกำลังจะยื่นใบลาออกได้เป็นอย่างดี เพราะผมไม่มั่นใจในการตัดสินใจของตัวเองเหมือนที่ใครๆ หลายคนก็เป็นและถามกับตัวเองว่า “เรียนต่อตอนอายุ 30 ช้าไปไหม?“ และนอกจากคำถามยอดฮิตนี้แล้ว นี่คือคำถามที่เหลือ (บางส่วน) ที่ผมพยายามหาคำตอบให้กับตัวเองตลอดเวลาครับ…
Read More

แจกฟรี! Spreadsheet template วางแผนงบการเงินประจำปีส่วนตัว

เริ่มปีใหม่แล้ว มาวางแผนงบการเงินส่วนตัวของทั้งปีนี้กันครับ! สมัยที่ผมเริ่มทำงาน ผมมีค่าใช้จ่ายที่ต้องปิดทุกเดือน ผ่อนคอนโด ผ่อนรถ ค่าน้ำมัน ฟิตเนส บิลโทรศัพท์ วัฏจักรการใช้เงินแต่ละเดือนของผมคือ ตอนสิ้นเดือน ก็นำเงินเดือนส่วนหนึ่งที่ได้ไปจ่ายบิลต่างๆ และใช้เงินที่เหลือสำหรับกิน เที่ยว ช้อปปิ้ง แล้วพอเหลือจากตรงนี้เท่าไหร่ก็ค่อยเอาไปออม เป็นแบบนี้วนไปครับ ส่วนเงินก้อนใหญ่ที่ต้องจ่ายหนึ่งครั้งต่อปีอย่างเช่นประกันชีวิต…
Read More

เที่ยวต่างประเทศ แล้วได้อะไร? (ถอดบทเรียนเที่ยว 13 ประเทศใน 1 ปี)

ระหว่าง 1 ปีที่ผมเรียนที่อังกฤษ เพื่อนถาม… “ตอนเรียนที่นั่นได้เที่ยวบ้างหรือเปล่า” ผมตอบ… “อื้มมม ก็เที่ยวบ้างนะ ไม่ค่อยบ่อย” ตอนตอบไม่ได้คิดอะไรครับ แต่พอมาลองนับจริงๆ ถึงรู้ว่าตัวผมตลอดปี 2019 เที่ยวต่างประเทศ 13 ประเทศ! แน่นอนครับ เพื่อนมันต้องถามต่อ…
Read More